วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

ไปกินกันไหม ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาที่เมืองสองแคว

ก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ซึ่งอยู่ข้างๆ วัดมหาธาตุฯ นี่แหละจ๊ะ ไม่ไกลเลย เดินไปก็ได้ หรือจะขับรถไปก็ได้ และตอนที่เราเห็นบรรยากาศร้านครั้งแรก ก็รู้สึกถูกใจเพราะมันดูแปลกดี เชื่อว่าในกรุงเทพฯ ไม่มีร้านก๋วยเตี๋ยวแบบนี้แน่นอน

ส่วนรสชาติของก๋วยเตี๋ยวก็โอเค.จ๊ะ อร่อยดี แต่แปลกก็ตรงที่เขาทำที่นั่งไว้ให้เราห้อยขา ก็เป็นอีกหนึ่งบรรยากาศของการทานก๋วยเตี๋ยวที่ได้อารมณ์ไปอีกแบบ และพอทานอิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่ก่อนกลับขอไปซื้อของฝากสักหน่อย และถ้ามีโอกาสเราก็อยากจะกลับมาเที่ยวที่นี่อีกเพราะรู้สึกชอบและอยากมาทำบุญบ่อยๆ ด้วย รู้สึกสบายใจดีจ๊ะ"

ไปเที่ยวกันไหม เชียงใหม่ เคาะประตูบ้านม้ง

ลมร้อนแห่งเดือนเมษายนมาเยือน อากาศร้อนกับอากาศหนาวสลับสับเปลี่ยนจนหลงฤดู ทุกวันนี้หลายคนไม่กล้าคาดเดาสภาพดินฟ้าอากาศ แดดจ้าเหมือนไม่มีฝนตก แต่กลับมีฝนตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา บนพื้นผิวโลกใบนี้เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติ ภัยพิบัติต่างๆ เริ่มย่างกลายเข้ามาเยือนจนมนุษย์อย่างเราไม่สามารถตั้งรับได้ทัน หลายจังหวัดในพื้นที่ของภาคใต้ที่ประสบภัยน้ำท่วม ส่วนทางภาคเหนือก็ต้องคอยเฝ้าระวังดินถล่ม ดินสไลด์ตามแนวชายเขา ส่วนอีสานก็ร้อนแห้งแล้งจนขาดน้ำ เอาแน่อะไรไม่ได้กับบนโลกใบนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้อยู่กับสติ สิ่งสำคัญเสาะแสวงหาความสุขในแบบฉบับของตนเองอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

แสงแดดร้อนที่แผดเผากับอากาศที่ร้อนระอุ...ทำให้ต้องออกเดินทางค้นหาธรรมชาติ เพื่อคลายความร้อน มองหาร่มรื่น..ความเย็นจากธรรมชาติ ความร่มรื่นของแมกไม้ที่เขียวขจี และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายผิดแผกจากชีวิตคนเมือง ผู้เขียนมุ่งหน้าสู่ หมู่บ้านขาวเขา ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันถึง 6 เผ่า อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งอาจจะมองดูว่าเป็นการจัดการเชิงธุรกิจไปสักหน่อย เนื่องจากเก็บค่าเข้าชมหมู่บ้านรายละ 500 บาท ไม่ว่าคนไทยหรือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งคิดดูแล้วแพง ด้วยความที่ผู้เขียนมีสายเลือดของสื่อมวลชน ทำให้ต้องได้มาของคำตอบเพื่อคลายความแคลงใจว่า 500 บาท มีการแบ่งสรรปันส่วนกันอย่างไร? คำตอบที่ได้รับ คือ เงินส่วนหนึ่งจะนำไปช่วยเหลือชาวเขาเหล่านี้เดือนละ 1,500 บาท ต่อครัวเรือน แต่มองดูจากการเข้าชมของนักท่องเที่ยวแล้วแต่ละครัวเรือนหน้าจะได้มากกว่านี้

เดินผ่านเข้ามาด้านในพบกับบ้านที่ปลูกด้วยไม้และมุงหลังคาด้วยใบไม้ตามธรรมชาติ โดยมีการจัดแบ่งพื้นที่บ้านแต่ล่ะชนเผ่าไว้ ภายในหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำประปาใช้ มีทุ่งนาข้าวที่เขียวขจี มีควายที่เลี้ยงไว้ใช้งาน มองแล้วเพลินตา ผสมกับลมพัดเย็น ๆ มาจากชายทุ่งนาจนทำให้รู้สึกเย็นสบาย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของผู้เขียน ทำให้ต้องเดินสำรวจถึงก้นครัว ดูสภาพความเป็นอยู่ชีวิตจริง ๆ ที่ปราศจากการปรุงแต่ง

ได้นั่งคุยกับคุณยายแก่ ๆ ได้รับการแบ่งปันขนมและอาหารแล้วรู้สึกมีความสุข ผู้เขียนใช้เวลาอยู่ในหมู่บ้านม้งอยู่ครึ่งวัน เพราะขึ้นบ้านชาวเขาเผ่าต่าง ๆ เกือบจะทุกหลังคาเรือน ได้นั่งดูการทอผ้า ได้ลองทอผ้าก็ทำให้เกิดความสนุก ได้พูดคุยกับเด็ก ๆ ทุกคนที่นี่อัธยาศัยดี ใจดีเล่นกีตาร์ที่พวกเค้าประดิษฐ์ขึ้นเองจากไม้สักและให้เราได้ลองเล่นด้วย

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

ไปเที่ยวกันไหมจะไปอัมพวา

หลายคนอาจเคยไปเที่ยวพักผ่อนที่อัมพวามาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เพราะชื่นชอบในความเงียบสงบและเป็นเมืองที่น่ารักอีกเมืองหนึ่งที่คู่ควรแห่งการอนุรักษ์ความเป็นไทยไว้ หากแต่เทศกาล "รัก ณ อัมพวา" ที่จัดขึ้นบริเวณอุทยาน ร.2 จะนำทุกท่านไปสู่ความอบอุ่น และอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยการโอบกอดของความรักและนำเสนอซอกมุมที่ใครหลายคนไม่เคยรู้เกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาก่อน อาทิเช่น

- ครัวไทยอร่อยรัก กับตำนานสอนเคล็ดลับสูตรเด็ดอาหารจานอร่อย คาว 16 ชนิด และ หวาน 16 ชนิด จากพระราชนิพนธ์กาพย์เห่เรือคาวหวาน พระราชนิพนธ์โดยรัชกาลที่ 2 ซึ่งสูตรอาหารบางชนิดนั้นก็ได้เกือบจะสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว
- ของดีมีไอเดีย กุมมือคู่รักของคุณมาร่วมปั้นแต่งของดีมีไอดียกว่า 10 ร้านค้าที่คุณและเขาจะร่วมกันทำให้เป็นของที่ระลึกที่มีชิ้นเดียวในโลกระหว่างคุณและคนรัก
- มะลังเมลืองเมืองแสงไฟ การจัดแสงไฟรอบอุทยานในแนวศิลป์รูปแบบต่างๆ อันเป็นสัญญาณแทนเจ้าสัตว์ตัวน้อยที่คล้ายกับเป็นเจ้าบ้านประจำเมืองอัมพวาคงเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากเจ้าหิ่งห้อยที่คอยส่องแสงมะลังเมลืองใต้ต้นลำพู เฝ้าบินวนเวียนฟังคำอธิษฐานรักของคู่รักหลายคู่ที่มาขอพรให้ความรักของตนและหลายคู่ที่ได้มาอธิษฐานที่นี่ก็ได้รับพรสุขสมหวังไปตามๆ กัน จึงพร้อมเปิด "วิธีอธิฐานรัก" ในประเทศไทยครั้งแรกบนแม่น้ำแห่งรักแห่งนี้
- นั่งอิงอิ่มรัก อีกหนึ่งมุมที่จะตลบอบอวนไปด้วยความรักของคู่รัก คู่เพื่อน และครอบครัวที่สามารถมานั่งอิงแอบพักผ่อน รับประทานอาหารที่ต่างคัดสรรมาเพื่อให้ได้ลิ้มลองรสชาติต้นตำรับเป็นหนึ่งของเมืองอัมพวา

ไปเที่ยวกันไหมที่บ้านกรูด

เมื่อเอ่ยชื่อนี้ออกไป คิดว่าหลายคนคงจะไม่รู้จักเป็นแน่แท้ เพราะว่าบ้านกรูดนั้นเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ใกล้กับบางสะพานใหญ่ราวๆ 20 กิโลเมตร สาเหตุที่ต้องแนะนำให้มาเที่ยวที่บ้านกรูดนี้ก็เพราะความสวยงามของชายหาดที่เป็นสีขาวนวลสวยงามสะอาดตานี่แหล่ะ ด้วยความที่เป็นเมืองเล็กๆ หลายสิ่งหลายอย่างจึงยังไม่เจริญมากนัก



แต่นั้นก็หมายความว่ามันยังคงเป็นเมืองที่สงบ ไม่วุ่นวายมากนัก เหมาะสำหรับการเดินทางมาพักผ่อนเป็นอย่างมาก ถนนหนทางที่บ้านกรูดถือว่าสะดวกสบาย มีถนนเลียบหาดให้ปั่นจักรยานเล่นสบายๆ อาหารการกินสามารถหาได้ไม่ยาก อีกทั้งที่พักก็มีให้เลือกหลากหลายเช่นกัน หาดบ้านกรูดถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่เพราะว่ามีชายหาดที่สวยงามด้วยทรายขาวนวล ตา มีลักษณะโค้งเรียวเช่นพระจันทร์เสี้ยว น้ำทะเลยังคงสีฟ้าครามสดใสสะอาด จึงไม่แปลกที่บ้านกรูดจะเริ่มเป็นที่นิยมจากนักท่องเที่ยว



บ้านกรูดมีชายหาดยาวถึง 12 กิโลเมตร สามารถแบ่งได้เป็นสองส่วนคือ หาดด้านเหนือและหาดด้านใต้ ทิวทัศน์บริเวณหาดยังสวยงามไปด้วยทิวสนและสวนมะพร้าวที่เรียงรายตลอดถนนเลียบหาด ซึ่งจะมีที่จอดรถ ศาลานั่งเล่น เลาะเลียบตลอดแนวชายหาด อีกทั้งยังมีศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวคอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยวด้วย



นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางไปชม พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ ริมหาดบ้านกรูด ซึ่งจัดสร้างขึ้นเนื่องในวโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์สิริราชสมบัติครบ 50 ปี ที่อยู่ใกล้ๆ ได้อีกด้วย

การเดินทาง:

- ทางรถยนต์ ใช้เส้นทางถนนพระราม2 ( ธนบุรี - ปากท่อ ) ผ่าน สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เลี้ยวซ้ายที่แยกวังมะนาว เข้าเขต จังหวัดเพชรบุรี แล้วใช้เส้นทางสายใหม่ (ByPass) สุดทางแล้วเลี้ยวขวาผ่าน อ.ปรานบุรี อ.สามร้อยยอด อ.เมือง อ.ทับสะแก จากอำเภอทับสะแกไปอีกประมาณ 19 กม. จะมีทางแยกซ้ายมือ (หลัก กม.ที่ 383 ) เข้าบ้านกรูด ( มีจุดที่สังเกตุ จากทับสะแกประมาณ 10 - 15 กม. ถ้าเห็นรูปปั้นหงส์ขนาดใหญ่ทางขวามือจะใกล้ถึงทางแยก เตรียมลดความเร็วลงอีกนิด ถนนจะแยกออกเป็นทางคู่ขนาน ให้ขับออกทางคู่ขนาน เพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าบ้านกรูดได้เลย) และมีป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวด้วยเขียนว่าทางไป พระพุทธกิตติศิริชัย ถนนเข้าบ้านกรูด ระยะทาง 9 กม.

- รถโดยสารปรับอากาศ ขึ้นรถได้ที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ถนนนครชัยศรี รถทัวร์ปรับอากาศ สายกรุงเทพ - บางสะพานทัวร์ ออกเดินทางทุกวัน สอบถามเวลาได้ที่ โทร 0 2435 5105 ลงรถที่ปากทางแยกบ้านกรูด แล้วนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างเข้าไป

- ทางรถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดรถขบวนพิเศษ ( สปินเตอร์ ) เหมาะสำหรับการเดินทางไปพักผ่อนที่บ้านกรูด โดยรถจอดที่สถานีบ้านกรูดและจากสถานีสามารถเดินทางมาที่ชายหาดบ้านกรูดได้ง่ายๆ ด้วยรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างหรือรถรับจ้างอื่นๆ สำหรับขบวนรถ มีรายละเอียดดังนี้

เที่ยวไป ขบวนที่ 43 กรุงเทพ - สุราษฎร์ฯ ออกจากหัวลำโพง 07.45 ถึงบ้านกรูด 12.44 ทุกวัน
เที่ยวกลับ ขบวนที่ 40 สุราษฎร์ฯ - กรุงเทพ ออกจากบ้านกรูด 14.56 ถึงหัวลำโพง 20.40 ทุกวัน
สอบถามรายละเอียด เพิ่มเติมที่ การรถไฟแห่งแห่งประเทศไทย โทร 1690

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

ขาช๊อปมาช๊อปกันไหมที่ ตลาดแก่งคอย

ใกล้วันหยุดสุดสัปดาห์ หลายคนอาจกำลังนึกถึงภาพความร่มรื่น สงบร่มเย็น การเดินทางไปพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดไกลๆ เพื่อทำให้ตนเองได้รู้สึกผ่อนคลายจากหน้าที่การงานและบทบาทในชีวิตประจำวันที่ต้องเจอกับความวุ่นวาย จนบางครั้งเราลืมไปว่า เราสามารถหยุดพัก หาที่สงบ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ได้ และหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับครองใจคนเมืองในช่วงเวลาวันหยุด นั่นคือ การไปเดินกิน เดินเที่ยว ตลาดน้ำ ตลาดโบราณ ที่ปัจจุบันมีอยู่แทบทุกมุมเมือง ซึ่งนอกจากจะได้เลือกซื้อสินค้าเก๋ๆ หรือชิมของอร่อยในท้องถิ่นแล้ว การไปเที่ยวตลาดยังสามารถทำให้เราสามารถเดินทางย้อนอดีตบรรยากาศเก่าๆ ที่อบอวลไปด้วยรอยยิ้มความรู้สึกดีๆ ของคนในชุมชน ที่บางครั้งเราอาจไม่เคยเห็นเหล่านี้มาก่อนก็เป็นได้


การมาเดินทางไปเที่ยวตลาดแก่งคอย สามารถเดินทางมาได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถไฟ และรถโดยสารประจำทาง เพราะมีระยะทางห่างจากกรุงเทพฯ ไม่มากนัก ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว ถ้าขับรถยนต์ส่วนตัวมาเอง สามารถจอดรถได้ทั้งในบริเวณตลาดแก่งคอย หรือจะขับไปจอดไว้วัดแก่งคอย ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ก็ได้เหมือนกัน หรือถ้าใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถไฟกินลมชมวิวเพลินๆ ก็ตีตั๋วมามาลงได้ที่สถานีรถไฟแก่งคอย ซึ่งถือว่าเป็นทริปการเดินทางมาเที่ยวตลาดที่สนุก สะดวกสบาย และเสียค่าใช้จ่ายไม่แพง



เมื่อมาถึงแล้ว หากยังไม่รู้สึกหิวกันมาก เราแนะนำให้ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ ตลาดแก่งคอยกันก่อน อย่างวัดแก่งคอย วัดเก่าแก่ของชุมชน ซึ่งภายในวัดมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น พระธาตุเจดีย์ศรีป่าสัก ฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 80 พรรษา ภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกได้ประทานให้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะบูชาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แวะนมัสการ รูปหล่อหลวงพ่อลา อดีตเจ้าอาวาสวัดแก่งคอยที่ชาวบ้านให้เคารพนับถือ ในวิหารด้านหน้าวัด ส่วนด้านหลังวัดแก่งคอยมีพื้นที่ติดแม่น้ำป่าสัก สามารถไปเดินเล่นชมวิวทิวทัศน์และลมเย็นๆ ได้ตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ใกล้ๆ กับพระธาตุเจดีย์ศรีป่าสักยังมีอนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์แด่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สงครามมหาเอเชียบูรพา หรือจะเดินไปถ่ายรูปเล่นเป็นที่ระลึกบริเวณ สถานีรถไฟแก่งคอย สถานีรถไฟเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของกำลังทหารไทยและญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เดินเที่ยวกันจนหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทอดน่องท่องตลาดแก่งคอยกันบ้าง ในตัวเมือง อ. แก่งคอย มีตลาดให้เราเลือกเดินเที่ยวได้ถึง 3 ตลาด และเป็นตลาดที่อยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งไม่ว่าคุณจะมาเที่ยวเวลาไหนก็หาของกินอร่อยๆ ได้ตลอดเวลา แต่ก่อนไปเที่ยวกันเรามาทำความรู้จักตลาดทั้ง 3 แห่งกันก่อนสักนิด

1.ตลาดเทศบาลเมืองแก่งคอย เปิดตลาดในช่วงเช้าถึงช่วงบ่ายๆ ขายทั้งอาหารคาว อาหารหวาน และของกินมากมาย เหมาะสำหรับคนตื่นเช้ า ถ้ามาสายมากๆ ตลาดจะวาย ร้านขายของจะปิดเกือบหมด อดกินของอร่อยไม่รู้ด้วยนะ
2.ตลาดยามเย็น อยู่บริเวณถนนสุดบรรทัดซอย 3 เปิดตลาดตั้งแต่ประมาณบ่าย 3 ไปจนถึงหัวค่ำ เน้นขายของกินและของซื้อกลับบ้านได้เป็นส่วนใหญ่ ใครไปเดินแล้วรับรองน้ำลายสออย่างแน่นอน 
3.ตลาดโต้รุ่ง แหล่งรวมของกินประเภทอาหารจานเดียว อาหารตามสั่งมาเอาใจคนนอกดึก เปิดตลาดตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน
3 ตลาด ใน อ.แก่งคอยเป็นตลาดเล็กๆ ที่เดินลัดเลาะไปมาแป๊บเดียวก็ทั่วแล้ว แต่ไปครั้งเดียวจะพาเดินกินเดินเที่ยวทั้ง 3 ตลาด ก็อาจจะเมื่อยและอิ่มกันเกินไป เราเลยเลือกพาไปเดินเที่ยว 'ตลาดยามเย็น' กันก่อนดีกว่า

ไปเที่ยวกันไหมที่ดอยอ่างขาง

ดอยอ่างขาง เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ทางทีมงานคู่หูเดินทางอยากจะแนะนำให้คุณผู้อ่านได้รู้จักกัน เพราะเป็นสถานที่ที่สวยงาม บรรยากาศดี อากาศบริสุทธิ์ และที่สำคัญอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปีด้วยที่ตั้งที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1,400 เมตร มีลักษณะภูมิประเทศเหมือนท้องกระทะหรืออ่าง อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีประมาณ 17.7 องศาเซลเซียส ถ้ามาในช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิก็จะลดลงเป็นเลขหลักเดียว ถ้ามาในช่วงฤดูร้อนอากาศก็จะอุ่นขึ้นแต่ก็ไม่ร้อนมาก ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ ต.แม่งอน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 159 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ถนนลาดยางตลอดเส้นทาง จุดเด่นที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวที่นี่กันมากเพราะสามารถไปเที่ยวชมดอกไม้เมืองหนาวต่างๆ ได้ภายในโครงการหลวงสถานีเกษตรอ่างขางซึ่งมีความสวยงามและน่าประทับใจเป็นอย่างมาก โดยเสียค่าเข้าชมคนละ 50 บาท ภายในโครงการมีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย ดังนี้

สวนแปดสิบ
สวนนี้ตั้งชื่อในวาระที่หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวงมีพระชนมายุครบ 80 ชันษาเป็นแปลงปลูกไม้เมืองหนาวกลางแจ้ง มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 5 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์สำหรับการเที่ยวชมดอยอ่างขาง ตั้งอยู่ใจกลางสถานีเกษตรอ่างขาง บริเวณด้านหน้าสำนักงานสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้เมืองหนาวสีสันสวยงามทั้งจากในและต่างประเทศ เช่นกะหล่ำยักษ์ คะน้าประดับ แพนซีไวโอลา เดลฟีเนียม
นีมีเซีย แมกโนเลีย ไม้ตระกูลซากุระ เมเปิล แพนซีไวโอลา เดซี สัปปะรดสี เป็นต้น โดยมีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันตลอดทั้งปี ไฮไลท์อีกอย่างที่ไม่ควรพลาดคือ การไปชมต้นซากุระแท้ๆ จากประเทศญี่ปุ่นซึ่งปลูกไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน ซากุระต้นนี้เติบโตได้ดีที่อ่างขางและออกดอกสวยงามมาก ใครที่อยากเห็นดอกซากุระแท้ๆ โดยที่ไม่ต้องบินไปไกลถึงประเทศญี่ปุ่น ก็สามารถมาเที่ยวชมได้ที่นี่และถ้ามาในช่วงหน้าหนาวก็จะได้พบกับซากุระเมืองไทยหรือดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพูสวยหวานเป็นของแถมอีกด้วย ด้านข้างมีบริการร้านอาหารของโครงการฯ (สโมสรอ่างขาง) ถ้ามาในช่วงเทศกาลแนะนำให้สำรองที่นั่งไว้ก่อนเพราะคนค่อนข้างเยอะมากที่นี่จะมีบริการอาหารที่หารับประทานยาก เช่น สลัดผักอ่างขาง เป็นสลัดผักปลอดสารพิษนะครับ ปลาเทราต์ทอดกระเทียมพริกไทยดำ เห็ดหอมสดทอด น้ำพริกอ่างขาง ที่รับประทาน คู่กับผักสดกรอบอร่อยได้รสชาติดี และอีกเมนูหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นคือ "ขาหมู หมั่นโถยูนาน" นั่นเองซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองของที่นี่รสชาติอร่อยมากครับ
พระตำหนักดอยอ่างขาง
อยู่ในป่าเมเปิลบนเนินฝั่งตรงข้ามกับสโมสรอ่างขางติดกับสวนแปดสิบ ลักษณะเป็นพระตำหนักหลังเล็ก ล้อมรอบไปด้วยป่าเมเปิลที่ใบมีสีสันสวยงามในแต่ละฤดูกาล บริเวณด้านหลังพระตำหนักเป็นป่าซากุระซึ่งจะออกดอกในช่วงฤดูหนาว สามารถเดินเที่ยวชมได้แค่บริเวณภายนอกพระตำหนักเท่านั้น
โรงเรือนปลูกผักเมืองหนาว
เป็นโรงเรือนพลาสติกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางด้านหลังโครงการบริเวณทางออก ภายในโรงเรือนทำเป็นแปลงปลูกพืชผักเมืองหนาวหลายชนิด ด้านหลังของโรงเรือนเป็นโรงปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน ผลผลิตที่ได้ส่งขายที่ร้านจำหน่ายผลผลิตของโครงการหลวงอ่างขางบริเวณโรงเรือนไม้ในร่ม

สวนบ๊วย - สวนท้อ
สวนบ๊วยมีอยู่ด้วยกัน 2 จุด จุดอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือก่อนถึงสโมสรอ่างขาง และอีกจุดหนึ่งบริเวณฝั่งตรงข้ามกับโรงเรือนปลูกผัก ส่วนสวนท้อมีกระจายอยู่หลายจุด จุดใหญ่สุดจะอยู่หน้าสวนบอนไซ ในส่วนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรือนปลูกผักนั้นจะมีการปลูกบ๊วยและท้อสลับกัน มีการจัดวางเก้าอี้ไม้ไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้นั่งถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันในบรรยากาศงดงามด้วยดอกบ๊วยสีขาวตัดกับดอกท้อสีชมพูปลูกเป็นแถวเรียงกันอย่างสวยงามเป็นระเบียบ
โรงเรือนกุหลาบ
โรงเรือนกุหลาบเป็นแปลงทดลองปลูกกุหลาบในโรงเรือน ตั้งอยู่ทางซ้ายมือ ประมาณ 100 เมตรจากด่านเก็บค่าธรรมเนียม โรงเรือนกุหลาบมี 2 โรง โรงแรกเป็นแปลงทดลอง เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โรงเรือนถัดไปเป็นโรงเรือนปลูกกุหลาบเพื่อการวิจัยไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ภายในโรงเรือนแรกเป็นแหล่งรวบรวมกุหลาบหลายชนิดหลากสีมีทั้งชนิดที่มีกลิ่นหอมและชนิดที่ไม่มีกลิ่น ด้านท้ายของโรงเรือนมีบอร์ดให้ความรู้เกี่ยวกับกุหลาบชนิดต่างๆ นอกจากจะปลูกกุหลาบเพื่อทดลองแล้วยังปลูกเพื่อตัดดอกเก็บผลผลิตอีกด้วย ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมหลังจากช่วงที่ตัดดอกไปแล้วก็อาจจะไม่เห็นดอกกุหลาบสวยๆ อย่างที่อยากจะเห็น ภายในโรงเรือนจะใช้วิธีการเพิ่มความชื้นโดยการพ่นสเปรย์น้ำอัตโนมัติ กำหนดเวลาที่จะให้น้ำได้ติดประกาศไว้ที่ปากทางเข้า ดังนั้นการจะเข้าไปชมในโรงเรือนควรดูกำหนดการให้น้ำด้วย มิฉะนั้นจะเปียกทั้ง คนและกล้อง
โรงเรือนพันธุ์ไม้ในร่ม
เป็นโรงเรือนพลาสติกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางด้านขวามือห่างจากด่านเก็บค่าธรรมเนียมประมาณ 100 เมตร ตรงข้ามกับโรงเรือนกุหลาบ โรงเรือนนี้เป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้ดอกไม้ประดับในร่มไว้มากมาย เช่น กล้วยไม้ประเภทต่างๆ บีโกเนีย มอส เฟิร์น และมีอีกมากมายหลายสายพันธุ์สีสันสวยงาม นอกจากจะมีไว้ให้ชมแล้วบางชนิดยังจัดจำหน่ายให้กับผู้สนใจอีกด้วย จุดจำหน่ายผลผลิตของโครงการหลวงอยู่ภายในโรงเรือนทางด้านหน้า ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายมีทั้งไม้ประดับกระถางเล็กๆ พืชผักจากในโครงการ ผลิตภัณฑ์แปรรูป หนังสือ และโปสต์การ์ด

สวนบอนไซ
นอกจากนี้ยังมีบอนไซที่อายุยืนที่สุดในโลกให้ชมอีกด้วย ในโดมรูปทรงหกเหลี่ยมจะจัดแสดงพันธุ์พืชภูเขาเขตร้อนและดอกกล้วยไม้จิ๋วที่สุด ที่จะออกดอกเดือนมกราคมของทุกปี และมีสวนหินธรรมชาติ
ภายในโครงการสถานีเกษตรหลวงอ่างขางยังจัดให้มีแปลงสาธิตอื่นๆ อีกมากมายอาทิ แปลงสาลี่ แปลงกีวี แปลงพลับ แปลงแมคาเดเมียเป็นต้น ด้านหน้าถัดจากโรงเรือนกุหลาบยังจัดให้มีสวนไม้ดอกกลางแจ้งขึ้นมาอีกจุดหนึ่งครับ ตรงจุดนี้ทางโครงการฯก็จัดและตกแต่งสวนไว้อย่างสวยงามเช่นกัน ส่วนในยามค่ำคืนบรรยากาศจะโรแมนติกมากๆ เพราะบนท้องฟ้ามีดาวดาวนับร้อยนับพันดวงลอยอยู่เต็มไปหมดซึ่งเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากกับชีวิตในเมืองอย่างเราๆ ครับ
บริเวณลานจอดรถด้านหน้าทางเข้าโครงการฯจะมีร้านอาหาร บ้านพัก ร้านค้าขายของที่ระลึกไว้บริการ ในช่วงเทศกาลจะมีมีชาวไทยภูเขานำของที่ระลึกทำมือมาวางขาย ในราคาไม่แพง เช่น "กำไลหญ้าอิบูเค" ซึ่งถักจากหญ้าอิบูเค แล้วนำมาย้อมสีสวยงามจนกลายเป็นสินค้าประจำอ่างขางไปแล้วครับ ผู้ที่ชื่นชอบสินค้าท้องถิ่น ก็เลือกซื้อหาสินค้าที่ทำด้วยมือชนิดต่างๆ เช่น หมวก ผ้าพันคอ เสื้อชาวเขา ราคาต่อรองกันได้ เป็นทางช่วยกระจายรายได้ไปยังคนในท้องที่ที่ดีทางหนึ่งครับ
มีเครื่องดื่มแก้หนาวให้บริการ อาทิ น้ำขิงร้อน นมสดร้อน น้ำเก๊กฮวยร้อน ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ ดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกอุ่นขึ้นมาทันที หรือจะเป็น ข้าวโพดปิ้ง มันเผาก็มีครับ เมื่อครั้งที่ทางทีมงานได้ไปเก็บเรื่องราวมาฝากกันนั้นอุณหภูมิที่อ่างขางหนาวมากถึง 2 องศาเซลเซียส จึงขอแนะนำคุณผู้อ่านถ้ามาในช่วงหน้าหนาวกรุณาเตรียมร่างกายและอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อมถุงมือถุงเท้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และที่สำคัญถ้ามีถุงนอนด้วยแล้วสบายสุดๆ เลยครับ อีกจุดหนึ่งตรงบริเวณทางขึ้นมาบนสถานีเกษตรหลวงอ่างขางจะมีจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณนี้เราของแนะนำให้จอดรถลงไปถ่ายรูปกันนะครับเค้ามีระเบียงไม้ให้เราไปยืนเก๊กท่าพร้อมมีแบ็คกราวนด์เป็นวิวที่สวยงามดีครับ
ค่อยๆ เดินเล่น ค่อยๆ ชมธรรมชาติ ใช้ชีวิตให้ช้าลง เก็บภาพความประทับใจเหล่านี้ไว้ในความทรงจำ...ที่สวยงาม และไม่ว่าจะหน้าหนาวหรือหน้าไหนผมว่า "ดอยอ่างขาง" ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผมว่ามีเส่นห์และสวยงามตลอดทั้งปี

"...TIPS รู้ก่อนเที่ยว..."
ที่พักมีให้เลือก 2 แบบ คือ พักแบบปกติ บ้านพักในโครงการฯ ซึ่งต้องจองกันแบบล่วงหน้ามากๆ เพราะถ้าในช่วงวันหยุดยาวๆ สถานที่พักอาจจะเต็มได้ โรงแรม หรือห้องพักของชาวบ้านที่มีให้บริการบริเวณจุดจอดรถก่อนทางเข้าโครงการหลวงฯ หรือถ้าชอบแนวผจญภัยนิดหน่อยก็ต้องแบบนอนเต็นท์ ซึ่งจุดกางเต็นท์ก็มีให้บริการอยู่ 2 จุดด้วยกัน คือจุดของโครงการหลวงฯ ซึ่งอยู่ก่อนถึงทางเข้าประมาณ 3 กิโลเมตร และอีกจุดหนึ่งเป็นของหน่วย อพปร. เป็นลานกว้างปรับระดับดินให้เป็นแนวราบ ข้อดีของจุดนี้คือเมื่อคุณตื่นนอนคุณก็สามารถชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นแบบพาโนรามาสวยดีทีเดียว มีน้ำอุ่นให้บริการ จะอยู่เลยขึ้นไปอีกประมาณ 4-5 กิโลเมตร
การเดินทาง
รถยนต์ส่วนตัว จากเชียงใหม่ ใช้เส้นทางสาย 107 เชียงใหม่-ฝาง เป็นเส้นทางผ่านแม่ริม แม่แตง เชียงดาว ทางแยกเข้าดอยอ่างขางที่ กิโลเมตรที่ 137 มีระยะทางถึงอ่างขางประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่สั้นแต่ชันมาก รถเก๋งและรถทุกชนิดขึ้นได้แต่ต้องขับด้วยความระมัดระวังอย่างมาก
รถประจำทาง บริษัท ขนส่ง จำกัด มีบริการรถออกจากสถานีหมอชิต 2 (จตุจักร) กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ มี 2 เที่ยว คือเวลา 9.00 น. และ 20.00 น. ลงที่สถานีขนส่งช้างเผือก ต่อรถเอกชนสายเชียงใหม่-ฝาง หรือ เชียงใหม่-ท่าตอน ที่สถานี แล้วลงที่ปากทางขึ้นดอยอ่างขาง หน้าวัดหาดสำราญ กิโลเมตรที่ 137 ค่าโดยสาร 100 บาท ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง จากนั้นให้ว่าจ้างสองแถว รถตู้ หรือรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นดอยอ่างขางอีกทีหนึ่ง หรือเดินทางด้วยรถตู้ประจำทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปยังอ่างขาง ที่สถานีขนส่งช้างเผือกก็ได้ สายเชียงใหม่-ท่าตอน VIP 150 บาท ธรรมดา 130 บาท

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ไปช๊อปกันไหมที่ตลาดเช้าโขงเจียม

เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงของแม่น้ำสองสี โขงสีปูน-มูนสีคราม อำเภอโขงเจียม เมืองอุบลฯ มานานแล้ว คราวนี้ สนุก ! ท่องเที่ยว ได้มีโอกาสสัญจรไปยังจังหวัดอุบลราชธานีตามคำชวนของ กองส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยว ฝ่ายส่งเสริมสินค้าท่องเที่ยว ฝ่ายบริการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงมีโอกาสไปชมความงดงามของแม่น้ำสองสีจนจุใจ



ตัวเมืองโขงเจียมจากจุดชมวิวแม่น้ำสองสี วัดถ้ำคูหาสวรรค์

และนอกจากจะได้ความงดงามของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในตัวอำเภอโขงเจียมจนอิ่มหนำสำราญใจแล้ว ช่วงเช้าก็ยังได้เดินสูดอากาศสดชื่นยามเช้าไปเที่ยวตลาดเช้าและได้ของกินของฝาก มาฝากคุณผู้อ่าน สนุก! ท่องเที่ยว เพียบ ยิ่งได้เจอความน่ารักและความอัธยาศัยดีของพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ ก็เพิ่มเสน่ห์ให้ตลาดแห่งนี้ดูอบอุ่น น่ารัก เป็นกันเองมากขึ้นไปอีก หรือถ้าไปซื้อของแล้วเห็นพืชผักหน้าตาแปลกๆ ที่เราไม่คุ้นชิน คุณพี่ ป้า น้า อา เหล่าพ่อค้าแม่ค้าตลาดสดแห่งนี้ก็จะช่วยอธิบายให้ฟังอย่างสนุกสนาน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้คนที่เดินทางมาต่างถิ่นอย่างเราหลงเสน่ห์ตลาดสดแห่งนี้ได้อย่างไรกัน



ตลาดเช้าโขงเจียมตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินทางไปไม่ยาก คนที่นี่ส่วนใหญ่ตื่นกันแต่เช้าตรู่ เมื่อมาถึงตลาดแล้วก็แวะตักบาตรให้จิตใจสดชื่นกันซะหน่อย เสร็จแล้วจะไปนั่งสั่งกาแฟร้อนหอมๆ กินกับปาท่องโก๋กรอบๆ ก็ได้



เดินเข้าไปในตลาดแล้วก็อย่าเพิ่งตกใจกับอาหารหน้าตาแปลกๆ ที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย อาหารเหล่านี้เป็นอาหารท้องถิ่นอีสาน อย่างกุ้งตัวเล็กๆ (ภาพซ้ายล่าง) บางคนอาจซื้อไปทำกุ้งเต้น ลาบกุ้ง รังผึ้งอ่ิอน (ภาพขวาล่าง) ก็เอาห่อในใบตองย่างไฟให้หอมๆ กินคู่กับข้าวเหนียวร้อนๆ ไข่มดแดง (ภาพบน) ก็ซื้อไปทำยำไข่มดแดง แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง หรือทำไข่เจียวไข่มดแดงก็อร่อยอย่าบอกใคร




อ. โขงเจียม ติดกับแม่น้ำโขง ที่นี่จึงมีปลาจากแม่น้ำมาวางขายกันสดๆ ทุกเช้าและราคาไม่แพง (ภาพบน) ส่วนเห็ดกวางก็เก็บกันมาขายสดๆ ใหม่ๆ ทุกวัน กองละ 10 บาทเท่านั้น (ภาพซ้ายล่าง) หนังควายตากแห้ง ของกินดั้งเดิมท้องถิ่นอีสาน ก็เอาไปย่างไฟให้หอมๆ เช่นกัน กินกับข้าวเหนียวร้อนๆ ก็แซบเหลือหลาย (ภาพขวาล่าง)



ผักพื้นบ้านเ้ก็บมาสดๆ ขายกันเองในราคาแบบชาวบ้าน



ผักเหล่านี้บ้างอย่างก็ขายกันเป็นกิืโล บางอย่างก็ขายกำละ 5 บาท 3 กำ 10 บาทก็มี หรือขายเป็นกองๆ ละ 5-10 บาท



ของใช้ในบ้านตลาดแห่งนี้ก็มีขาย แถมพูดคุยต่อราคากันได้อย่างสนุก ของกินบางอย่างที่หากินได้ยากในปัจจุบันอย่างข้าวเกรียบว่าว ก็ย่างกันร้อนๆ ให้กินกรอบๆ ตรงนั้นเลย



ในตลาดเช้าโขงเจียมนอกจากจะมีอาหารสด อาหารแห้ง อาหารพื้นถิ้นอีสานให้เลือกซื้อเลือกหากันแล้ว อาหารปิ้งย่างอย่างหมูย่าง ไก่ย่าง ตับย่าง ไส้กรอกอีสานก็มีขายอยู่หลายเจ้า ย่างกันร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วตลาด กินกับข้าวเหนียวร้อนๆ อืม! อร่อยไปสามโลก





ขนมก็มีให้เลือกกินหลากหลาย ราคาก็ขายแบบเบาๆ มันปิ้งลูกกลมๆ ลูกละ 2 บาท ข้าวต้มมัดชิ้นละั 5 บาท



ของกินที่นี่รสชาติอร่อยไม่ได้แตกต่างจากตลาดสดที่อื่นๆ แต่สิ่งที่ไปแล้วประทับใจและยังนึกได้เสมอ คือความมีน้ำใจ เ็ป็นกันเองของพ่อค้าแม่ค้า ที่เราสามารถเดินชิมของอร่อยๆ ทุกอย่างก่อนซื้อได้อย่างสบายใจ ( โดยไม่ต้องกลัวว่าแม่ค้าจะหันมาค้อนเอา ว่าทำไมชิมแล้วไม่ซื้อ!) มีโอกาสผ่านไปอย่าลืมแวะไปเที่ยวกันนะครับ ถึงแม้จะไกลไปหน่อย แต่รับรองว่าอิ่มท้องและประทับใจไม่รู้ลืมแน่นอน...

เรื่องและภาพ: กันต์ ณ ปกรณ์
http://travel.sanook.com/

ไปดูกันไหมคนกับช้าง ที่ศูนย์คชศึกษาบ้านตากลาง จ. สุรินทร์

มีสถานที่ไม่กี่แห่งในเมืองไทยที่เราจะได้เห็นคุณค่าอันมหัศจรรย์แห่งสายสัมพันธ์ระหว่างคนและช้างที่ผูกพันกันยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด และหนึ่งในนั้นคือ บ้านตากลาง จ. สุรินทร์ ถิ่นช้างเลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ที่เราะได้เห็นความผูกพันระหว่างคนกับช้าง รวมทั้งประเพณีและวัฒนธรรมที่น่าชื่นชมอย่างเต็มอิ่ม จุใจ



ศูนย์คชศึกษาบ้านตากลางแห่งนี้ ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อสืบทอดวัฒนธรรมการเลี้ยงช้างตามวิถีชาวกูยให้คนทั่วโลกได้รู้จัก และเข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างช้างกับชาวกูย มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมาตั้งแต่อดีตกาล ชาวกูยมีวิถีการเลี้ยงช้างในแบบฉบับของตัวเอง แทบทุกบ้านเลี้ยงช้างไว้เหมือนคนในครอบครัว ชีวิตของพวกเขาผูกพันกับช้างอย่างเหนียวแน่นและลึกซึ้ง



ศูนย์คชศึกษาบ้านตากลาง จ. สุรินทร์ มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งให้ได้ชม ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ช้าง ที่รวบรวมความเป็นมาเกี่ยวกับช้าง อุปกรณ์คล้องช้าง ข้อมูลเกี่ยวกับช้างเบื้องต้น ก่อนเจาะลึกสู่วิถีความผูกพันของชาวบ้านตากลางกับช้าง และยังได้ชมภาพการจับช้างอันน่าตื่นตาตื่นใจ ก่อนออกไปสัมผัสความสนุกจริงๆ ในหมู่บ้านตากลาง



ออกจากพิพิธภัณฑ์ต้องแวะไปดูความน่ารักแสนรู้ช้างที่แสดงความสามารถพิเศษได้หลากหลาย ทั้งเตะฟุตบอล วาดรูป ฯลฯ นอกจากจะทำให้เราหัวเราะเพลิดเพลินแล้ว เรายังมีโอกาสให้อาหารและเล่นกับช้างได้อย่างใกล้ชิดด้วย และถ้ามาแล้วอีกกิจกรรมหนึ่งที่ห้ามพลาดคือ นั่งช้างเที่ยวรอบหมู่บ้าน โขยกเขยกไปตามทางเดินรอบหมู่บ้านตากลาง ชมภาพวิถีชีวิตชาวบ้านที่เลี้ยงช้างในหมู่บ้าน ผ่านวัดป่าและสุสานช้างที่เห็นแล้วต้องตะลึงกับความรักที่พวกเขามีต่อช้าง เพราะสร้างได้งดงามไม่ต่างจากของคน ชมการทำกระดาษจากมูลช้าง ที่สวยงามจนเราลืมไปเลยว่า นั่นคืออึ๊ช้างนี่หว่า หรือจะแวะชมลูกช้างแฝด ทองคำกับทองก้อน ที่กำลังอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน ซึ่งเราสามารถป้อนอาหารจากมือเราให้เจ้าช้างน้อยได้ และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแบบใกล้ชิดติดขอบเลนส์อย่างที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน




นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการชมสาธิตพิธีเซ่นศาลประกำ ที่ต้องติดไปก่อนล่วงหน้าเท่านั้น หรือเรียนรู้การเป็นควาญช้างในวิถีชาวกูย ที่ต้องมาเที่ยวมาพักแบบโฮมสเตย์หลายๆ วัน หรือแวะเที่ยวตามกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นตลอดทั้งปี เช่น การจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ งานวันช้างไทย ในช่วงเดือนมีนาคม งานวันสงกรานต์ช้าง สนุกสนานเล่นน้ำกับช้าง ในช่วงเดือนเมษายน งานบวชนาคช้างในช่วงเดือนพฤษภาคม งานตักบาตรบนหลังช้างช่วงเข้าพรรษา และงานช้างสุรินทร์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี




ก่อนกลับอย่าลืมแวะอุดหนุนของที่ระลึกหน้า ศูนย์คชศึกษาบ้านตากลาง ที่จำหน่ายในราคาย่อมเยาว์ อยากเห็นความน่ารักของช้าง ไปที่นี่ที่เดียว อิ่ม คุ้ม จุใจ ไม่แน่นะคุณอาจจะเปลี่ยนใจมาหลงรักช้างเหมือนกับเราก็เป็นได้...

ติืดต่อ: ศูนย์คชศึกษาบ้านตากลาง ต.กระโพ อ. ท่าตูม จ. สุรินทร์
สอบถามรายละเอียด โทร. 0 4414 5050

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: เที่ยวสนุก สนุกตามวิถีช้าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ กองส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยว ฝ่ายส่งเสริมสินค้าท่องเที่ยว ฝ่ายบริการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

ไปเที่ยวกันไหมจังหวัดบึงกาฬ จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย

ในที่สุดพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 ก็มีผลบังคับใช้ให้ 'บึงกาฬ' เป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศไทยตั้งแต่วันนี้ ( 23 มีนาคม 2554 )เป็นต้นไป โดยเมื่อเช้านี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ได้ร่วมกับชาวจังหวัดบึงกาฬ ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 77 รูป หน้าสำนักงานเทศบาลตำบลบึงกาฬ และจัดกิจกรรมร่วมฉลอวงกันอย่างคึกคักไปทั่วทั้งจังหวัด และมีผู้ว่าราชการจังหวัดคนแรกชื่อ นายสมพงษ์ อรุณโรจน์ปัญญา

ปัจจุบันจังหวัดบึงกาฬ มีพื้นที่รวม 4,305.746 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 399,043 คน ครอบคลุมพื้นที่ 8 อำเภอ คือ อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า มีอาณาเขตติดกับพื้นที่ต่่างๆ ดังนี้ คือ ทิศเหนือ ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทิศตะวันออก ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอนาทม จังหวัดนครพนม- อำเภออากาศอำนวยและอำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร และอำเภอเฝ้าไร่ จังหวัดหนองคาย ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย และแขวงบอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

นอกจากนี้ยังมี สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจและสวยงาม มากมาย อาทิ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว วัดอาฮงศิลาวาส ศาลเจ้าแม่สองนาง หลวงพ่อพระใหญ่ บ้านท่าใคร้ หนองกุดทิง หาดทรายขาวริมฝั่งแม่น้ำโขง บึงโขงหลง หาดคำสมบูรณ์ น้ำตกตาดกินรี ภูทอก น้ำตกเจ็ดสี น้ำตกถ้ำฝุ่น น้ำตกชะแนน ฯลฯ ที่สามารถเดินทางไปเที่ยวชมและพักผ่อนได้ทุกฤดูกาล

การเดินทางไปจังหวัดบึงกาฬ สามารถเดินทางหลายเส้นทาง ดังนี้
1.รถยนต์
- จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดสระบุรีแล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ผ่านจังหวัดนครราชสีมา-จังหวัดขอนแก่น- จังหวัดอุดรธานี-จนถึงจังหวัดหนองคายและจากหนองคายสู่อำเภอบึงกาฬ โดยจะผ่านอำเภอโพนพิสัย กิ่งอำเภอรัตนวาปี อำเภอปากคาด รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 751 กิโลเมตร
2. รถโดยสารประจำทาง
มีรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถปรับอากาศ
- จากบริษัทขนส่งจำกัด http://www.transport.co.th โทรศัพท์: 0 2 936 2841 - 48, 0 2936 2852 - 66 ต่อ 442, 311
- บริษัท แอร์อุดร จำกัด http://airudon.comze.com สำรองที่นั่ง กรุงเทพฯ โทร 02 936 2735 อุดรธานี โทร 0 4224 5789 สถานที่จำหน่ายตั๋วอาคารหมอชิต 2 ชั้น 3 ช่องจำหน่ายตั๋ว 55 และ 118 (หลังประชาสัมพันธ์ ชั้น 3)
- บริษัท 407 พัฒนา ให้บริการด้วยรถปรับอากาศชั้น 1 และชั้น 2 ชนิด ม.1ข ,ม.4ข ,ม.1พ ,ม.2 ให้บริการรถสาย กรุงเทพฯ หนองคาย บึงกาฬ บุ่งคล้า, กรุงเทพฯ กุมภวาปี บึงกาฬ ,ระยอง-ขอนแก่น-พังโคน-บึงกาฬ
และยังมีรถบริษัทเอกชนหลายแห่ง จัดรถวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-หนองคาย โดยเริ่มจากสถานีขนส่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร
3. รถไฟ

- มีขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯ-หนองคาย และขบวนรถด่วนดีเซลราง กรุงเทพ - อุดรฯ ทุกวัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 1690, 0 2223 7010, 0 2223 7020 www.railway.co.th สถานีรถไฟหนองคาย โทร. 0 4241 1592
4. เครื่องบิน
สามารถไปได้โดยลงที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี รายละเอียดสอบถามได้ที่บริษัทการบินไทย จำกัด http://www.thaiairways.co.th/ ศูนย์สำรองที่นั่ง 0 2356 1111
สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย โทร. 0 2515 9999 http://www.airasia.com/th/th/home.html
สายการบินนกแอร์ www.nokair.com Call us Nok Air at 1318 or +662- 900-9955

ไปเที่ยวกันไหมที่สามพันโบกจังหวัดอุบลราชธานี

สามพันโบก หนึ่งในสุดยอดแหล่งท่องเที่ยวของอุบลราชธานีที่วันนี้ทุกคนต้องมาเยือน โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เดือนมิถุนายนของทุกปี หลังสายน้ำในแม่น้ำโขงลดลงจนเผยให้เห็นเกาะแก่งหินที่ถูกกระแสน้ำขัดเกลาจนเกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติกินอาณาบริเวณกว้างไกลสุดตายตา ราวกับเมืองแห่งความลับใต้บาดาล ดูสวยงามยามต้องแสงสีทองของดวงตะวันไม่ว่าจะเป็นยามเช้าหรือเย็นย่ำ ล้วนตรึงทุกสายตาให้จดจ่อและดื่มด่ำกับภาพนั้นยาวนานที่สุด
คงไม่ผิดนักหากเปรียบที่นี่ดัง "แกรนด์แคนยอนเมืองไทย" ด้วย "โบก" อันเกิดจากกระแสน้ำโขงได้กัดเซาะหินทรายจนกลายเป็นหลุมเป็นแอ่งมากมายหลายขนาด กลายเป็นผลงานสร้างสรรค์จากธรรมชาติอันไพศาลชื่อว่า "สามพันโบก" ซึ่งจะพาทุกจินตนาการหลุดลอยไปกับสายน้ำ พร้อมเรื่องราวตำนานสามพันโบกที่มีมีอยู่หลายเรื่องให้ได้พิศวง อาทิ ตำนานหินหัวสุนัขตรงทางเข้าซึ่งจะพบหินคล้ายหัวสุนัข ตำนานหาดหินสีหรือทุ่งหินเหลื่อม ตำนานปู่จกปู อันเป็นหลุมโบกที่เกิดขึ้นนับไม่ถ้วน แม้ไม่มีบทสรุปต่อตำนานเหล่านี้ หากนักท่องเที่ยวก็ได้สรุปร่วมกันแล้วว่าที่นี่คือความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติโดยแท้
การลัดเลาะไปเที่ยวสามพันโบกอย่างใกล้ชิดต้องอาศัยการล่องเรือที่พาลัดเลาะไปยังจุดสำคัญๆ มากมาย อาทิ ปากบ้องเป็นจุดแคบสุดของแม่น้ำโขง วัดได้ 56 เมตร แก่งสองคอน เกิดจากเกาะหินหัวพะเนียงวางกลางลำน้ำ้ำโขง ทำให้แม่นí้ำโขงแยกออกเป็น
สองสายหรือสองคอน หาดสลึงเป็นหาดทรายสวยงามเหมาะพักผ่อนหย่อนใจริมฝั่งน้ำมูล ผาหินศิลาเลขซึ่งเป็นเหมือนรอยจารึกอดีตสมัยฝรั่งเศสรุ่งเรือง และหาดหงส์ซึ่งเป็นเนินทรายริมน้ำโขง ขนาดกว้างใหญ่ไพศาลโดยเฉพาะในช่วงอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า หาดหงส์จะทอประกายความงดงามเหนือลำน้ำโขงด้วยแสงสีทองที่ทาบทอลงมา
การเดินทาง: อ.โพธิ์ไทร  จ. อุบลราชธานี

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

ไปเที่ยวไปช้อปที่เขาใหญ่

หนึ่งในสีสันวันพักผ่อนที่ทำให้เราได้ออกกำลังยืดเส้นยืดสาย นอกจากการเดินป่าชมธรรมชาติเที่ยวน้ำตกในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่แล้วยังมี แหล่งท่องเที่ยวนอกอุทยานที่สามารถกระตุ้นต่อมอะดรีนาลินได้ดีนักเช่นที่ Life Park ของกรีนเนอรี่ รีสอร์ท มีกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมมันส์ๆ ท้าทายความกล้า ที่หวาดเสียวสุดๆ คือเครื่องเล่นวัดใจซึ่งพร้อมจะเหวี่ยงคุณให้พลิกคว่ำพลิกหงายกลางอากาศ ไปจนถึงเครื่องเล่นเสียวน้อยแต่เอาฮาเข้าว่าอย่างเอเวอร์สไลด์ รถบัมพ์ ยิงธนู เพนต์บอล หรือแข่งกันปีนป่ายไต่ลวดสลิงไปตามฐานต่างๆ ใครอยากละลายความเครียดจากการทำงานหรืออยากจัดกิจกรรมกระชับมิตรละก็มาที่ นี่ไม่ผิดหวัง
อันที่จริงโดยรอบบริเวณเขาใหญ่จัดเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่น่าสนใจทีเดียว เพราะมีทั้งสวนเกษตรและฟาร์มโคนมเปิดให้เข้าชมอยู่หลายแห่ง สำหรับทริปนี้เราแวะไปที่ไร่กุหลาบกลางพนา ดูสาวๆ ในทริปจะชอบใจกันมากเพราะมีกุหลาบสวยๆ หลายสายพันธุ์ให้เลือกดอมดมและถ่ายรูปกันเต็มที่ เพราะเขาไม่คิดค่าเข้า แต่มีข้อแม้ว่าห้ามเด็ดค่ะ เนื่องจากจะทำให้ส่วนตาของกุหลาบที่ใช้ผสมพันธุ์เกิดเสียหาย บางดอกหอมม้าก-มาก บางดอกหอมน้อย และบางดอกสีสวยแปลกตาหาชมยากเพราะผสมพันธุ์ขึ้นใหม่โดยใช้ลำต้นจากกุหลาบป่า ที่แข็งแรงทนโรคและหาอาหารเก่ง แล้วติดตาด้วยกุหลาบพันธุ์ดีสีสวย หากอยากซื้อกุหลาบต้องสั่งล่วงหน้าค่ะ หรือถ้าอยากได้พันธุ์กุหลาบไปปลูกก็ต้องรอเดือนมีนาคม ให้กุหลาบที่เพาะไว้โตพอจึงออกขายได้ค่ะ

อย่างที่บอกว่าตลอดสองข้างถนนธนะรัชต์ที่มุ่งหน้าขึ้นสู่อุทยานฯ เดี๋ยวนี้คึกคักมากมีทั้งร้านอาหารและแหล่งช้อปปิ้ง หากตั้งต้นจากสามแยกขึ้นเขาใหญ่เพื่อกลับเข้ากรุงเทพฯ อยากหาของฝากติดไม้ติดมือประเภทผลไม้หรือของที่ระลึกต้องแวะที่ตลาดสามแยก แล้วแวะไปช้อปให้สนุกพร้อมถ่ายภาพกับโลเกชั่นสวยๆ ก็ต้องไป Palio แหล่งช้อปใหม่ของเขาใหญ่ อยู่ใกล้ๆ โรงแรมจุลดิศ ที่นี่ผู้คนมากันหนาแน่นโดยเฉพาะในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ถ้าอยากซื้อกล้วยไม้หรือดอกไม้สวยๆ ไปปลูกแวะไปย่านบ้านใหม่สามัคคี มีตลาดต้นไม้ริมทางที่ราคาไม่แพง หรือแวะแถว กม. 11 ไปกินกาแฟแล้วเดินเลือกซื้อของแต่งบ้านสไตล์ไม้ๆ ที่บ้านไม้เขาใหญ่ก็เพลินดี
Fast Facts 
- การเดินทางจากกรุงเทพฯ-เขาใหญ่ ระยะทาง 205 กม. ไปตามถนนมิตรภาพถึงสระบุรี วิ่งไปทางปากช่อง จ.นครราชสีมา แล้วแยกตรงกิโลเมตรที่ 56 ไปตามถนนธนะรัชต์ หรือวิ่งตามถนนมิตรภาพเข้าอ. มวกเหล็ก แล้วกลับรถเข้าทางร้านเดลี่โฮม ก็จะออกถนนธนะรัชต์ได้เช่นกัน 
- ไลฟ์ปาร์คที่เดอะ กรีนเนอรี่ รีสอร์ท อยู่ถนนธนะรัชต์ ก่อนถึงอุทยานฯ เปิดบริการตั้งแต่ 09.00-18.00 น. สอบถามรายละเอียดโทร. 0-2661-2999, 044-297-668 ไร่กุหลาบกลางพนาอยู่บริเวณบ้านเหวปลากั้ง สอบถามเส้นทางโทร. 044-297-265-6 Palio - - เปิดทุกวัน โดยวันอาทิตย์-พฤหัสฯ เปิดตั้งแต่ 10.00-20.00 น. วันศุกร์ เสาร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดตั้งแต่ 10.00-22.00 น.

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ไปเที่ยวกันไหมหาดสวยๆ10อันดับที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพ ชุดที่ 4 สุดท้าย

ตามดู 3 ชุดแรกได้ที่นี่
ไปเที่ยวกันไหมหาดสวยๆ10อันดับที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพ ชุดที่ 1
ไปเที่ยวกันไหมหาดสวยๆ10อันดับที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพ ชุดที่ 2
ไปเที่ยวกันไหมหาดสวยๆ10อันดับที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพ ชุดที่ 3



9. ทะเลปราณบุรี พักผ่อนสบายๆ นอนเล่น ฟังเสียงคลื่น

หาดทรายสีน้ำตาลอ่อนทอดยาวกกว่า 7 กิโลเมตร ของหาดปราณบุรี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ต้องการนอนพักผ่อนฟังเสียงคลื่น รับลมทะเล หรืออาบแดด และลงเล่นน้ำให้ชื่นฉ่ำหัวใจ เพราะชายหาดที่นี่ยังคงบรรยากาศแบบสบายๆ ไม่พลุกพล่านมากนัก อีกทั้งยังมีบูติกรีสอร์ตสวยเก๋หลายแห่งให้ได้เลือกพักผ่อนตามความพอใจ หากต้องการยืดเส้นยืดสายก็ไปเที่ยวได้ที่หาดเขากะโหลก ในเขตวนอุทยานท้าวโกษา ทางด้านใต้ของชายหาดแห่งนี้มีภูเขาลูกย่อมๆ คล้ายกะโหลก ใครอยากชมวิวเมืองปราณบุรีจากมุมสูง ก็สามารถปีนป่ายไปยังด้านบนได้ และถ้าท้องร้องขึ้นมาก็เลือกชิมอาหารทะเลตามร้านต่างๆ ได้

การเดินทาง: รถส่วนตัว ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และ อำเภอปากท่อ แล้วแยกเข้าถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข4) มุ่งหน้าสู่ จังประจวบคีรีขันธ์ ถึงสี่แยกปราณบุรี เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายปากน้ำ -ปราณบุรี ตรงไปก็จะถึงชายหาดปราณบุรี ไม่มีรถส่วนตัว มีรถโดยสารและรถตู้ปรับอากาศให้บริการจากกรุงเทพฯ ไปยังสี่แยกปราณบุรี จากนั้นจะมีรถสองแถวโดยสารหรือจักรยานยนตร์รับจ้างให้บริการจากปากน้ำปราณบุรีไปปากน้ำปราณ ซึ่งสามารถเหมาต่อได้



10. บ้านกรูด ชายหาดสีขาวนวล

พอพูดถึงหาดบ้านกรูด นักท่องเที่ยวตัวยกต้องยกนิ้วให้ เพราะชายหาดสีขาวนวลสะอาดตา โค้งมนคล้ายพระจันทร์เสี้ยวแบบชิดน้ำทะเลสีฟ้าครามนั้น ยาวไปไกลตามชายฝั่งพร้อมทิวสนและสวนมะพร้าวอันร่มรื่นกว่า 12 กิโลเมตร ขนานไปกับถนนเลียบหาด เป็นเสน่ห์ให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาพักผ่อนกันอย่างไม่ขาดสาย ชาวบ้านเล่าว่าแต่เดิมมีต้นมะกรูดขึ้นขึ้นมากมายนั่นเอง ถึงกลาเป็นที่มาของชื่อหาดบ้านกรูด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือหาดทางด้านเหนือกับหาดทางด้านใต้ มีที่พักและร้านอาหารริมหาดหลายแห่ง แต่กระนั้นก็ไม่ทำให้สูญเสียความเป็นธรรมชาติและความสงบเลยสักนิด ชุมชนประมงที่แปรอาหารทะเลแห้งเป็นอาชีพ ก็กระจายตัวให้เห็นอยู่ตลอดชายหาด

การเดินทาง: รถส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข4) อำเภอบางสะพานเลี้ยวซ้ายที่ กม. 382 ไปตามถนนเพชรเกษมบ้านกรูด ข้ามทางรถไฟไปประมาณ 9 กิโลเมตร ถึงถนนเลียบหาดบ้านกรูด ไม่มีรถส่วนตัว มีรถโดยสารสายกรุงเทพฯ - บางสะพาน ลงที่แยกบ้านกรูด ขึ้นจักรยานยนต์รับจ้างเข้ามาบ้านกรูด ถ้าขึ้นรถไฟ ต้องลงที่สถานีบ้านกรูด จากนั้นขึ้นจักรยานยนตร์รับจ้าง เข้ามาหาดบ้านกรูดเพียง 1 กิโลเมตร

ไปเที่ยวกันไหมหาดสวยๆ10อันดับที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพ ชุดที่ 3

ต่อกันที่ชุดที่ 3 จากเดิมตอนที่แล้ว
ไปเที่ยวกันไหมหาดสวยๆ10อันดับที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพ ชุดที่ 1
ไปเที่ยวกันไหมหาดสวยๆ10อันดับที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพ ชุดที่ 2


7. หาดเจ้าสำราญ ไปแล้วต้องอยู่นานๆ

ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรี ประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นชายหาดที่เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมาแต่สมัยโบราณ มีประวัติเล่ากันมาว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยเสด็จมาที่นี่ พร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงพอพระราชหฤทัยในความงามของหาดนี้มาก ทรงประทับแรมอยู่หลายวัน จนชาวบ้าน เรียกหาดนี้ว่า หาดเจ้าสำราญ ชายหาดแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าไปพักผ่อนแห่งหนึ่ง มีบรรยากาศที่เงียบสงบ อากาศเย็นสบาย มีสัตว์ทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งปูเสฉวน หอย แมงกะพรุน มีที่พักพร้อม มีร้านสะดวกซื้ออยู่ใกล้เคียง สามารถลงเล่นน้ำได้ ในบริเวณใกล้เคียงมีหมู่บ้านชาวประมง ชายหาดแห่งนี้ทรายถูกพัดถมขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีทรายที่ละเอียดมากในส่วนของต้นหาด ที่นี่จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ต้องไปไกลมากและมีความสวยงามมากแห่งหนึ่ง

การเดินทาง: รถส่วนตัว ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และ อำเภอปากท่อ แล้วแยกเข้าถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข4) มุ่งหน้าสู่เพชรบุรี หาดเจ้าสำราญอยู่ห่างจากตลาดเมืองเพชรบุรี 15 กิโลเมตร ไม่มีรถส่วนตัว นั่งรถทัวร์หรือรถตู้ กรุงเทพฯ - เพชรบุรี แล้วต่อสองแถวที่วิ่งระหว่างตัวเมือง - หาดเจ้าสำราญ


8.ทะเลหัวหิน เปี่ยมเสน่ห์ คลาสสิกตลอดกาล

แหล่งพักผ่อนตากอากาศสุดคลาสสิก หาดทรายขาวกว้างยาวสุดสายตา น้ำทะเลใสซัดสาดฟองคลื่นกระทืบโขดหินที่กระจายอยู่บริเวณปลายหาดด้านหนึ่งอย่างสวยงามเป็นเอกลักษณ์ และนี่เองคือที่มาของชื่อหัวหิน และเมื่อพ้นจากบริเวณนี้ไปก็จะเป็นหาดทรายขาดทอดยาวไปจนเขาตะเกียบเลยทีเดียว หากนึกสนุกจะลองขี่ม้าเดินเล่นตามชายหาดหรือทอดย่างซึมซับเสน่ห์ความงามของบ้านพักตากอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายและเรื่องราวของวันเก่าก็เพลิดเพลินไม่น้อย โดยทางหาดหัวหินมีทางลงอยู่สองจุดด้วยกัน คือ ด้านหน้าโรงแรมโซฟิเทลและบริเวณศาลเจ้าแม่ทับทิมบริเวณถนนนเรศดำริ ซึ่งมีลานจอดรถเล็กๆ ตรงกับแหลมหินหน้าหาดให้บริการฟรีอยู่ด้วย

การเดินทาง: รถส่วนตัว ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และ อำเภอปากท่อ แล้วแยกเข้าถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข4) มุ่งหน้าสู่ จังประจวบคีรีขันธ์ ไม่มีรถส่วนตัว นั่งรถทัวร์หรือรถตู้ กรุงเทพฯ -หัวหิน- ปราณบุรี มาลงที่หัวหินแล้วนั่งรถรับจ้างหรือเดินไปก็ได้ หรือจะนั่งรถไฟ สถานีรถไฟหัวหิน ห่างจากชายหาดหัวไปประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถเดินถึงหาดได้สะดวก

ไปเที่ยวกันไหมหาดสวยๆ10อันดับที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพ ชุดที่ 2

มาต่อกันอีกทีจากเดิม  ไปเที่ยวกันไหมหาดสวยๆ10อันดับที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพ ชุดที่ 1

4. หาดเจ้าหลาว สนุกวัน สนุกคืน

เดินทางไปไกลอีกนิดเราจะเจอกับหาดเจ้าหลาว หาดที่เงียบสงบและมีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดจันทบุรี ตั้งอยู่ที่แหลมเสด็จห่างจากอำเมืองไปประมาณ 27 กิโลเมตร หาดทรายละเอียดสีแดงยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา ทิวมะพร้าวทิวสนสลับกับรีสอร์ตน้อยใหญ่ เรียงรายตลอดแนว ยิ่งช่วงแดดร่มลม การนั่งเล่นชิลล์ๆ บนเตียงผ้าใบรอพระอาทิตย์ขอบฟ้าช่างได้บรรยากาศโรแมนติกเสียจริงๆ หากชื่นชอบการชมทิวทัศน์ จุดชมวิวทะเลบริเวณสันเขาสามารถมองเห็นหาดเจ้าหลาวได้เต็มตา หรือจะออกไปดำน้ำชมปะการังน้ำตื่นก็ได้ ตกกลางคืนยังมีกิจกรรมนั่งเรือได้หมึกที่น่าตื่นเต้น กินหมึกกันสดๆ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสจี๊ดก็เด็ดอย่าบอกใคร

การเดินทาง: จากถนนสุขุมวิท ก่อนถึงตัวเมืองจันทบุรี ถึงกิโลเมตรที่ 301 มีทางแยกขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 3399 และจะพบป้ายทางแยกหาดเจ้าหลาว อีกเส้นทางหนึ่ง คือ จากตัวเมืองเดินทางไปยังอำเภอท่าใหม่ ระยะทาง 17 กิโลเมตร ต่อด้วยเส้นทางที่ไปเขื่อนวังโตนด แล้วขับเลยไปจนถึงชายทะเลได้เช่นกัน หรือจากถนนสุขุมวิท ตรงหลักกิโลเมตรที่ 302 ไปตามทางหลวงหมายเลข 3399 เมื่อถึงบ้านหมูดุดจะพบสามแยกให้เลี้ยวซ้าย จะเห็นป้ายบอกทางไปหาดเจ้าหลาว ระยะทาง 3 กิโลเมตร


5.เกาะช้าง จ. ตราด ไม่เคยร้างความสนุก

เกาะขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศน้องๆ จากจังหวัดภูเก็ตที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนักและหลายคนนึกถึงแม้จะมีเวลาหยุดเพียงวันเสาร์อาทิตย์เพียง 20 นาที จากท่าเรือธรรมชาติก็มาถึงเกาะช้าง โดยแบ่งเกาะช้างเป็นสองฝั่ง คือด้านตะวันออกที่เงียบสงบ เป็นแหล่งชุมชนคนท้องถิ่น และมีชายหาดที่เล่นน้ำได้ไม่มากนัก ส่วนด้านตะวันตกของเกาะนั้นเป็นชายฝั่งที่มีชายหาดให้เล่นน้ำเกือบเหนือจรดใต้ มีชายหาดที่เชิดหน้าชูตา คือ หาดทรายขาว หาดคลองพร้าว และหาดไก่แบ้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสนุกๆ อีกมากมาย เช่น ดำน้ำชมปะการัง หรือจะดินเนอร์ใต้แสงเทียนริมหาดทรายยามค่ำคืนสนุกไม่น้อยเลย

การเดินทาง: ท่าเรือเฟอรี่จากตราดสู่เกาะช้าง มี 2 ท่า ท่าเรือธรรมชาติ โทร. 0-3951-8589 ท่าเรือเซ็นเตอร์พ้อยด์โทร. 0-3953-8196 การเดินทางมาเที่ยวเกาะช้างมีถนนเพียงเส้นเดียวรอบเกาะเอารถยนต์ข้ามมาใช้ได้สะดวก และเติมน้ำมันรถมาให้เพียงพอ หรือจะใช้บริการสองแถวก็สะดวกดี แต่ถ้าจะเช่ามอเตอร์ไซต์ขับกินลมชมวิว ก็ต้องขับช้าๆ และพกสติไปด้วยตลอดเวลา เพราะถนนบางช่วงแคบและปริมาณรถคับคั่ง เกิดอุบัติเหตุเป็นประจำ ส่วนที่พักนั้นหาได้ตั้งแต่ระดับบังกาโล ห้องน้ำรวม ไปจนถึงระดับห้าดาว



6.ชะอำ สนุก คึกคักใกล้กรุง

หาดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เป็นชายหาดที่สวยงาม และมีชื่อเสียง ถนนที่เลียบชายหาดขาวนวลยาวเหยียด เรียงรายไปด้วยแนวต้นสน สนุกสนานไปกับการเล่นน้ำทะเลใส ซื้อของกินในราคาไม่แพง ซึ่งจะมีพ่อค้าแม่ค้ามาหาบขายตลอดเวลา มีเตียงผ้าให้นั่งเล่น นอนยาวตลอดแนวชายหาดหาด เต็มไปด้วยที่พักมากมายหลายระดับให้นักท่องเที่ยวได้เลือกใช้ บริการตาม ความสะดวก ทั้งแบบราคาย่อมเยาว์ไปจนถึงที่พักหรูราคาแพง ถนนเลียบชายหาดนั้นสามารถเช่าจักรยานปั่นกินลมชมวิวไปตามชายหาดได้อย่าง เพลิดเพลิน หรือจะลองขี่ม้าที่มีคนนำมาไว้บริการก็ยังได้ ขี่ม้าลัดเลาะไปตามชายหาดคิดดูว่ามันจะสุดยอดแค่ไหน

การเดินทาง : อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ราว 164 กิโลเมตร รถส่วนตัว ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และ อำเภอปากท่อ แล้วแยกเข้าถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข4) มุ่งหน้าสู่เพชรบุรี ไม่มีรถส่วนตัว นั่งรถทัวร์หรือรถตู้ กรุงเทพฯ -ชะอำมาลงก็ได้

ไปเที่ยวกันไหมหาดสวยๆ10อันดับที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพ ชุดที่ 1

หน้าร้อนนี้เชื่อว่าหัวใจใครหลายคนคงชื่นชอบและโหยหาบรรยากาศของทะเลและเกลียวคลื่น แต่ด้วยชีวิตที่เต็มไปด้วยหน้าที่การงาน ก็ได้ปล้นเวลาของเราไปมากต่อมาก ถึงวันว่างทีไร การเติมพลังชีวิตด้วยความงามของธรรมชาติก็สร้างความสุขและผ่อนคลายให้จิตใจไม่น้อย ยิ่งได้เดินทางไม่ไกลด้วยก็เหมือนได้กำไรเป็นสองต่อ


1. หาดจอมเทียน พัทยา มีดีไม่แพ้ใคร

ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เท่าไหร่ หาดจอมเทียนได้ชื่อว่าเหมาะสำหรับวันหยุดพักผ่อนเป็นอย่างดี ด้วยระยะทางเพียง 4 กิโลเมตรจากตัวเมืองพัทยามาทางทิศใต้ คุณจะได้เห็นหาดทราบสีนวลสะอาดตาทอดยาวกว่า 6 กิโลเมตร หาดจอมเทียนเดิมชื่อว่าหาดดงตาล เพราะมีต้นตาลตลอดแนว ถนนร่วมรื่นรอบชายหาดเต็มไปด้วยร้านอาหารทะเลและร้านค้า นอกจากนี้ยังมีโรงแรมรีสอร์ตสำหรับการมาพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หากใครอยากสนุกกับกิจกรรมทางน้ำ กระดานโต้คลื่น เจ็ตสกี สกูตเตอร์ บานานาโบ๊ต วินด์เซิร์ฟ ฯลฯ ก็มีบริการที่นี่ แต่ถ้าแค่อยากมานอนพักผ่อนรับลมทะเลก็มีเตียงผ้าใบพร้อมชายหาดไว้คอยบริการ

การเดินทาง: จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 บางนา-ตราด ขับไปจนถึงบ้านนาเกลือ ตรงหลักกิโลเมตรที่ 150 แยกขวาเข้าพัทยา เลยจากตัวเมืองพัทยาไปทางด้านทิศใต้อีก 4 กิโลเมตรก็จะถึงหาดจอมเทียน

2. เกาะล้าน ไปกี่ครั้งก็ยังสวย

ถ้าใครมาเที่ยวพัทยาและปักหลัง กิน ดื่ม เที่ยว อยู่แต่บนฝั่ง ขอบอกว่าคุณกำลังพลาดความงามที่นึกไม่ถึง เพราะแค่นั่งเรือข้ามออกไปจากฝั่งไปราว 40 นาที ประมาณ 7 กิโลเมตร คุณจะมาถึงเกาะล้าน เกาะที่มีชายหาดขาวและน้ำทะเลใสแจ๋วราวกระจกให้แหวกว่ายเล่น สำหรับหาดที่สวยบนเกาะล้านต้องยกให้หาดแสม ชายหาดขนาดกะทัดรัด ค่อนข้างเงียบสงบ มีเก้าอี้และเตียงชายชายหาดสีสันสดใสวางทอดยาวบนชายหาดสีขาวสะอาด ให้มานอนเล่น อาบแดด อ่านหนังสือ จิบน้ำมะพร้าวเพลินๆ ทะเลสีเขียวอ่อน ก็สามารถลงเล่นได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัย เพราะมีทุ่นแบ่งเขตว่ายน้ำเพื่อป้องกันอันตรายแก้นักท่องเที่ยว หรือใครอยากสนุกจะเช่าสนามเด็กเล่นในน้ำ ปีนป่ายแพยางหลากหลายรูปแบบ หรือจะเช่าบานานาโบ๊ต หรือเจ็ตสกีก็มีให้บริการ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ใกล้เคียงเช่น หาดตาแหวนอยู่ทางเหนือของเกาะ มีโค้งหาดทรายยาวสวย มีกิจกรรมทางทะเลมากมาย และร้านค้าเพียบ หาดอื่นๆ ก็เช่น หาดแหลมเทียน หาดตาพัน หาดนวล หาดทองหลาง รวมถึงหมูเกาะใกล้เคียงที่มีปะการังสวยงาม เช่น เกาะครกและเกาะสาก ซึ่งทั้ง 2 เกาะสามารถดำน้ำได้ทั้งแบบน้ำลึกและน้ำตื้นสามารถเดินทางไปเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้อย่างสบาย หรือจะนอนค้างแรมสักคืนสองคืนก็ได้

การเดินทาง: เมื่อมาถึงพัทยา เดินทางไปที่แหลมบาลีไฮ ซึ่งเป็นท่าเรือข้ามไปเกาะล้าน (ถ้ามาจากกรุงเทพฯเลี้ยวไปทางพัทยาใต้) มีรถรับฝากถ้าจะจอดค้างคืน หรือที่จะไปเกาะล้านมีให้บริการอยู่หลายเจ้า ถ้าไปลงหาดตาแหวน หรือหาดหน้าบ้าน ราคาคนละ 20 บาท แล้วไปต่อมอเตอร์ไซต์ คนละ 40 บาทต่อเที่ยว ถ้าไปลงหาดแสม ไป-กลับคนละ 150 บาท มีเรือให้บริการตั้งแต่ 08.00-18.30 น. ออกเดินทางทุก2 ชั่วโมง และมีเรือเร็วให้เช่าไปที่เกาะด้วย


3.เกาะเสม็ด สวรรค์วันพักผ่อน

เกาะเสม็ดแห่งทะเลระยอง เป็นอีกจุดมุ่งหมายหนึ่งที่หลายคนเลือกไปเยือน เพราะเดินทางสะดวก ที่พักสบาย มีให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะหาดทรายขาวและน้ำใสสีเขียวครามสะอาดตา เกาะเสม็ดเป็นเกาะขนาดกลาง เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานเขาแหลมหญ้า-เกาะเสม็ด ต้องเสียค้าเข้าชมอุทยานด้วย (ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท) โดยลงเรือเมล์จากฝั่งบ้านเพจะใช้เวลาวิ่งราว 30-40 นาที ถึงท่าเรือหน้าด่านใกล้ๆ กับอ่าวป้าช้าทางส่วนเหนือสุดของเกาะ แล้วเราเริ่มเดินหรือเหมาสองแถวไปเที่ยวกันได้เลย ส่วนเหนือของเกาะเป็นศูนย์รวมความเจริญบนเกาะ มีท่าเรือใหญ่ ตลาด และด่านเก็บเงินของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ถัดมาตะวันออก จะพบหาดทรายแก้วทอดยาวขาวสะอาด มีร้านรวงรีสอร์ตและกิจกรรมทางน้ำครบครัน เริ่มตั้งแต่กาารเล่นน้ำใส ขับเจ็ตสกี นั่งเรือกล้วย แล่นเรือใบ เล่นกีฬาชายหาด ถัดจากหาดทรายแก้วไปจนถึงปลายตะวันออกของเกาะก็มีอ่าวเล็กๆ อีกกว่า 10 อ่าว ที่เดินถึงกันได้อย่างสะดวก สามารถลงเล่นน้ำ กินอาหาร แล้วชมทัศนียภาพภาพของทะเลไปเรื่อยๆ เช่น อ่าวไผ่ อ่าวทับทิม อ่าวนวล อ่าวช่อ อ่าวลุงดำ เป็นต้น อ่าววงเดือนที่อยู่กึ่งกลางเกาะเสม็ดก็มีสีสันคึกคักไม่แพ้หาดทรายแก้ว ส่วนอ่าวลุงดำ ก็เป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดบนเกาะนี้ก็ว่าได้ อยู่บนเกาะเบื่อๆ จะเช่าเรือออกไปดำน้ำชมปะการังแถวๆ หน้าอ่าวหวาย อ่าวเทียน อ่าวปะการังก็ได้ หรือแล่นเรือออกไปดำน้ำแถวๆ เกาะจันทร์ เกาะทะลุ และเกาะกฎี ที่รับรองว่าสภาพธรรมชาติยังบริสุทธ์อยู่มาก

การเดินทาง: รถยนส่วนตัว ใช้ถนนสุขุมวิท (ทางหลวงหมายเลข 3) ผ่านจังหวัดระยองตรงไปอีก 19 กิโลเมตร จะถึงท่าเรือบ้านเพ หรือจะเลี้ยวขวาตรง กม. 238 เข้าสู่ถนนเลียบหาด ก็ตรงสู่ท่าเรือบ้านเพได้เช่นกัน แล้;ฝากรถไว้ที่ท่าเรือได้ รถประจำทางมีรถออกทุกวันที่สถานีขนส่งเอกมัย ใช้เวลาวิ่งประมาณ 3 ชั่วโมง

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Grants For Single Moms