วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เขาช้างเผือก กาญจนบุรี





เส้นทางสาย 3272 คือถนนลาดยางกลางเก่ากลางใหม่ที่ลัดเลาะผืนป่าขึ้นสู่เทือกเขาสูง ปลายทางของมันนั้นอยู่ที่บ้านอีต่อง จุดบรรจบของเขตชายแดนไทย-พม่า ที่จะนำไปสู่จุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ เขาช้างเผือก



ด้วยระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตรจากเขื่อนวชิราลงกรณ์ถึงด้านบนนั้น แบ่งเป็นทางชันคดเคี้ยวซะ 24 กิโลเมตร ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่น่าหวาดเสียวพอสมควร เนื่องด้วยถนนที่ค่อนข้างจะเแคบ(มาก) แค่พอรถวิ่งสวนกันเท่านั้น สำหรับผู้ที่เดินทางมาครั้งแรกควรระมัดระวังการใช้เส้นทางให้มาก อีกอย่างหนึ่งที่ควรทราบไว้ก็คือเส้นทางสายนี้มีฝูงช้างออกหากินด้วย ถ้าพบเขาเหล่านั้น ก็รักษาระยะห่างไว้ อย่าเข้าใกล้เป็นดีที่สุดก่อนถึงบ้านอิต่อง 8 กิโลเมตรเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ที่ทำการแห่งนี้มีบริการบ้านพักและที่ตั้งเต๊นท์ให้กับนักท่องเที่ยว ด้วยพื้นที่กว้างขวางจึงสามารถรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลได้พอเพียง อีกทั้งห้องน้ำห้องท่าก็ยังสะดวกสบาย มีให้บริการหลายห้อง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่พอ และที่ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมินี้ สามารถชมวิวทะเลหมอกได้ที่จุดชมวิวเนินกูดดอย จากจุดชมวิวนี้ สามารถมองเห็น เขาช้างเผือก ได้ด้วย

ก่อนเดินทางขึ้นสู่ เขาช้างเผือก จะต้องทำการติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ก่อนเพื่อเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องการนำทางและความปลอดภัย จากนั้นเจ้าหน้าที่จะติดต่อลูกหาบให้ โดยลูกหาบจะมีหน้าที่ในการหาบสัมภาระให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งส่วนมากแล้วเป็นชาวบ้านในบ้านอิต่อง จุดเริ่มต้นในการขึ้นสู่ยอดเขานี่เอง เขาช้างเผือก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ โดยมีความสูงถึง 1,249 จากระดับน้ำทะเล การเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาช้างเผือกนั้นใช้การเดินเท้าในระยะทางประมาณ 8-9 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางนั้นจะเป็นเส้นทางที่ลัดเลาะยอดเขาต่างๆ ต้องข้ามยอดเขากว่า 3-4 ยอดเขาจึงจะถึงจุดตั้งเต๊นท์ที่เรียกว่า กิ่วลม



ส่วนมากแล้วนักท่องเที่ยวจะนิยมนอนพักที่กิ่วลมก่อน 1 คืน จากนั้นจึงเดินเท้าขึ้นสู่ยอด เขาช้างเผือก ในวันรุ่งขึ้นเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น ระยะทางจากกิ่วลมสู่ยอดเขานั้นไม่ไกลมากเท่าไร แต่เป็นทางเดินลาดชัน ที่ต้องปีนป่าย และทรงตัวไปตามทางเดินเล็กๆ และลื่นพอสมควร จุดวัดใจในการขึ้นสู่ยอดเขานั่นก็คือ "สันคมมีด" ที่เป็นสันหินแคบ กว้างไม่เกิน 1 เมตร สองข้างทางเป็นเหวลาดลงไป ใครจะขึ้นถึงยอดหรือไม่ ก็วัดใจกันตรงนี้นี่แหล่ะ ถ้าหากผ่านสันคมมีดมาได้ รางวัลที่รออยู่บนยอด เขาช้างเผือก นั้นสามารถทำให้หายเหนื่อยได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นวิวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแบบ 360 องศา ที่สามารถมองเห็นเขื่อนวชิราลงกรณ์ด้านล่าง และในวันที่ปราศจากเมฆหมอก ทัศนวิสัยดีเยี่ยมจะสามารถมองข้ามไปทางฝั่งประเทศพม่าและมองเห็นทะเลอันดามันได้ด้วย!!!

เขาช้างเผือก จ.กาญจนบุรียังคงรอให้ทุกท่านไปสัมผัสอยู่เสมอยกเว้นในช่วงฤดูแล้งเพราะจะเกิดไฟป่าขึ้น ฤดูฝนและฤดูหนาวเท่านั้นที่สามารถมาเที่ยวได้ ที่สำคัญบอกให้รู้ไว้ว่าด้านบนกิ่วลมนั้นมีสัญญาณโทรศัพท์ให้ใช้งานได้ด้วย (AIS & DTAC) เลิกกังวลเรื่องการติดต่อสื่อสารไปได้เลย

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก: www.เที่ยวภาคกลาง.com

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เชียงคาน หนาวนี้ต้องไป..เลย











เมืองเชียงคาน ในปัจจุบันเป็นเมืองโบราณเก่าแก่ในสายตาของนักท่องเที่ยว เป็นชุมชนที่ยังคงอนุรักษ์ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาได้ยาวนานกว่า 100 ปี เมืองเชียงคานเป็นเมืองโบราณที่มีเพียงบ้านไม้เก่าๆ ร้านกาแฟ มุมหนังสือเล็กๆ เท่านั้น แต่กลับมีนักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว เดินเที่ยวกันให้เต็มไปหมด อาจจะด้วยเพราะเมืองเชียงคานนี้เงียบสงบ บรรยากาศดี ด้วยการที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์แต่ผสมผสานกับความเป็นสมัยใหม่ที่ไม่มากจน เกินไปได้อย่างลงตัวในแบบฉบับของเชียงคาน ผู้คนที่เชียงคานก็เป็นมิตร อัธยาศัยดี และการไปเที่ยวที่เชียงคานก็ไม่แพงจนเกินกำลัง ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเชียงคานแห่งนี้ ก็จะเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น หลายๆ สิ่งที่เชียงคานอาจเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตามเชียงคานจะไม่เปลี่ยน แปลงไป ถ้าเราทุกคนยังคงช่วยกันรักษาความเป็นเอกลักษณ์ ดำรงวิถีชีวิตในแบบของเชียงคานสืบไป ความเป็นเชียงคานที่คงความเป็นเอกลักษณ์ได้ยาวนานกว่าร้อยปี ก็จะเป็นเช่นเดิมตลอดไปได้ครับ เชียงคาน อำเภอเล็ก อารยะธรรมแห่งลุ่มน้ำโขง จากอาณาจักรล้านช้างในอดีต จากภูมิประเทศที่ติดชายแดนลาว ผู้คนที่นี่ทำการค้าขายกับคนลาวฝั่งตรงข้ามอยู่สม่ำเสมอตั้งแต่อดีตกาล ครั้นประเทศลาวตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ศิลปวัฒนธรรมการก่อสร้างบ้านเรือน อาหารการกิน คนที่นี่พลอยได้รับอารยธรรมฝรั่งเศสไปด้วย
การคมนาคมนอกจากเรือ แล้ว จักรยานเห็นจะเป็นยานพาหนะยอดฮิตของผู้คนที่นี่ เราสามารถเห็นจักรยานรุ่นเก่าจอดเรียงอยู่หน้าบ้าน แถวเชียงคานอยู่ทั่วไป ส่วนการอยู่อาศัยคนที่นี่จะอยู่บ้านเรือนทรงไทยโบราณเกือบร้อยปี หากใครมีฐานะหน่อยก็จะมีระเบียงหน้าบ้าน จนหน่อยก็มีแค่หน้าต่างเท่านั้น อาหารการกินส่วนใหญ่เป็นจำพวกปลาต่างๆ จากแหล่งน้ำโขงนี่เอง



ด้านวัฒนธรรมจะมีการใส่บาตรข้าวเหนียวในยามเช้า ซึ่งยังคงมีให้เห็นอยู่ พระที่นี่เดินบินฑบาตกันแต่เช้ามืด ประมาณ 6 โมงเช้า แต่ถ้าช่วงหน้าหนาวสว่างช้าหน่อยก็เริ่มเดินกันตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง ปัจจุบัน ทางการกำลังทำถนนจาก อ.ท่าลี่ สู่ หลวงพระบาง ประเทศลาว ประมาณ 320 กม. ถือว่าสั้นและสะดวกที่สุดในการเดินทางโดยรถยนต์ โครงการนี้จะแล้วเสร็จ ประมาณปี 2556 ลัดเลาะสองฝั่งโขง แถวเชียงคานนี่เอง เป็นจุดเริ่มลำน้ำโขงที่มาบรรจบกับลำน้ำเหือง ไหลผ่านอีกหลาย อำเภอ ของอีกหลายจังหวัดของประเทศไทย ทิวทัศน์แปลกตา มีเกาะแก่งน้อยใหญ่ให้ดูชมตลอดเส้นทางที่คู่ขนานกับลำน้ำสายนี้ครับ


วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อุทยานแห่งชาติผาแต้ม



อุทยานแห่งชาติผาแต้ม เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยูทางตะวันออกสุดของประเทศไทย สามารถรับชมพระอาทิตย์ขึ้นได้เป็นจุดแรกของประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานี จุดที่น่าสนใจคือภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ผาแต้ม ผาหมอน ผาลาย ประติมากรรมธรรมชาติเสาเฉลียง และจุดชมพระอาทิตย์แสงแรกแห่งสยาม อุทยานแห่งชาติผาแต้มมีพื้นที่ราว 340 ตารางกิโลเมตร (212,500 ไร่)
ผาแต้ม

คำว่า \"แต้ม\" ในภาษาถิ่นดั้งเดิมหมายถึง รอยวาด ระบาย ประทับ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ โดยใช้สี ให้ปรากฏเป็นรูปภาพ เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ โดยที่ผาแต้มนี้ เป็นแหล่งที่พบภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว 3,000-4,000 ปีแบ่งออกได้ 4 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ยาวที่สุดยาว 180 เมตร และมีภาพมากกว่า 300 ภาพ
[แก้]เสาเฉลียง

เสาเฉลียงเป็นประติมากรรมหินทรายชิ้นเอกจากธรรมชาติ โดยประกอบจากหินทรายสองชุดคือหินทรายยุคครีเตเชียส ชั้นบน (ซึ่งแข็งกว่า) และหินทรายยุคจูแรสซิก ชั้นล่าง (ซึ่งอ่อนกว่า) ถูกกระทำโดยน้ำและลมเป็นเวลายาวนานกว่าร้อยล้านปี จนเกิด \"กระบวนการต้านทานทางธรรมชาติ\" ซึ่งเป็นแรงกดทับ และแรงธรรมชาติอื่น ๆ ทำให้เม็ดทรายในเนื้อหินเชื่อมประสานกันแน่นขึ้น ส่งผลให้สามารถรักษารูปร่างได้ถึงปัจจุบันนี้ ส่วนชื่อ เสาเฉลียง แผลงมาจากคำว่า \"สะเลียง\" ซึ่งแปลว่าเสาหิน
[แก้]ผาชะนะได

ผาชะนะได เป็นสถานที่ที่อยุ่ทางทิศตะวันออกสุดของประเทศไทย ที่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นคำนวณเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ตั้งอยู่ในป่าดงนาทาม ตำบลนาโพธิ์กลาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพิกัดภูมิศาสตร์ที่ ละติจูด 15 องศา 37 ลิปดา 3.5 พิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 105 องศา 37 ลิปดา 17 พิลิปดา ตะวันออก

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เที่ยวเยอรมนี ยลเมืองมรดกโลก


http://travel.sanook.com
ผ่านไปผ่านมาอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแฟรงค์เฟิร์ตหรือมิวมิค ก็เพียงแค่เปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางไปเยือนยลประเทศอื่นในทวีปยุโรปเท่านั้น จึงได้เพียงแค่สบตากับเยอรมันจากช่องหน้าต่างของเครื่องโบอิ้งแต่เพียงอย่างเดียว ในใจก็คิดไปว่า ประเทศนี้ทำไมดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดีจังเลย เมื่อมองจากมุมสูง โดยเอาสายตาเล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างที่เค้าให้ปิดขณะเครื่องจะลงจอด เลยแอบแลเห็นบ้านเรือนถูกจัดวางแปลนอย่างมีระบบ หรือนี่จะเป็นสิ่งที่พ่อหนวดแปะจมูกที่ชอบยกมือขวาทิ้งไว้ให้ เดี๋ยวมีโอกาสเถอะ จะขอเข้าไปกระแซะหาคำตอบกันหน่อย ว่าจะสวยเหมือนอย่างที่มองผ่านเลนส์รึเปล่า



แล้วโอกาสทองก็มาถึง เมื่อเครื่องแลนด์ดิ้งที่แฟรงค์เฟิร์ตอีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องโยกย้ายส่ายสะโพกไปที่ไหนอีก เพราะตั้งใจกลับมากระแซะเยอรมันแบบเต็มตัว ด้วยความใคร่รู้และชอบเที่ยว ขอพักสักหน่อย แล้วจะเริ่มสตาร์ทริปนี้ให้ถึงใจเลยเชียว ประเทศเยอรมนี หรือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ใจกลางของทวีปยุโรป มีกรุงเบอร์ลินเป็นเมืองหลวง และถูกล้อมรอบด้วยประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ทางทิศเหนือติดกับเดนมาร์ก ทิศตะวันตกติดกับเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก และฝรั่งเศส ทิศใต้ติดกับสวิสเซอร์แลนด์ และออสเตรีย ทิศตะวันออกติดกับเชคและโปแลนด์ นับว่าเป็นประเทศที่มีเพื่อนบ้านเยอะทีเดียว เยอรมันนับว่าเป็นประเทศที่มีภูมิทัศน์ที่ครบครัน ทั้งเทือกเขาสูงต่ำ ทะเลสาป ที่ราบโล่งกว้าง แม่น้ำ รวมถึงชายฝั่งทะเล และเกาะแก่งน้อยใหญ่ ส่วนลักษณะอากาศ จัดว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างมีอากาศที่หนาวเย็น จะอบอุ่นขึ้นบ้างก็ในฤดูใบไม้ผลิคือช่วงเดือน มีนาคมถึงพฤษภาคม และฤดูร้อนช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม



เยอรมันเป็นประเทศที่มีสังคมเปิด คือ ยอมรับผู้คนที่อพยพมาจากถิ่นอื่นเพื่อเข้ามาตั้งรกราก และผู้อพยพหนีสงคราม ทั้งยังเปิดเสรีสำหรับผู้ใช้แรงงาน จึงทำให้เป็นประเทศที่มีการรวมประชากรจากหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ซึ่งเยอรมันมีเมืองใหญ่ที่น่าสนใจอยู่มากมาย มาเริ่มตะลุยกันที่เมืองที่มีชื่อหอมฟุ้งอย่างโคโลญจ์กันดีกว่า Cologne (โคโลญจ์) ชาวเยอรมันออกเสียงว่า "เคิล์น" เป็นเมืองใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศเยอรมัน ชื่อเมืองมีที่มาอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด คือสมัยก่อนเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตน้ำหอมที่เรียกว่า ออดิโคโลญจ์ ยี่ห้อ 4711 ซึ่งเป็นของฝากอันขึ้นชื่อของเมืองโคโลญจ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั่นเอง และสิ่งที่เป็นมรดกโลกสุดอลังการอย่าง เคิล์นโดมก็ตั้งอยู่ที่เมืองนี้ ฉะนั้น ต้องตามติดไปรู้ประวัติกันหน่อย



Cologne Cathedral หรือ Kolner Dom (มหาวิหารโคโลญจ์) เป็นมหาวิหารที่มีสถาปัตยกรรมแบบโกธิก ซึ่งเป็นศาสนสถานของคริสตศาสนาโรมันคาทอลิก สร้างเพื่ออุทิศให้นักบุญปีเตอร์และพระแม่มารี โดยก่อสร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1791 โดยใช้เวลาการก่อสร้างกว่าหกร้อยปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ อีกทั้งยังได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่สองอีก เนื่องจากโบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง และใกล้จุดยุทธศาสตร์ จนต้องทำการบูรณะใหม่หลังสงครามยุติ ปัจจุบันได้ถูกบันทึกให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2536 มหาวิหารโคโลญจ์ มีขนาดสูงเป็นอันดับสองของยุโรป คือเป็นหอคอยแฝดสูง 157 เมตร กว้าง 86 เมตร และยาว 144 เมตร รองจากมหาวิหารอูล์ม ที่ตั้งอยู่ในเมืองอูล์ม ประเทศเยอรมันเช่นกัน เมืองโคโลญจ์ ยังมีเสน่ห์ที่สามารถฉุดฉันให้อยู่ต่อได้อีก เพราะถ้ามาเที่ยวช่วงเดือนพฤศจิกายน แน่นอนว่าจะต้องได้ร่วมฉลองเทศกาลใหญ่อย่าง เทศกาลคานิวาล แน่นอน เพราะเป็นสีสันที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศให้มาร่วมงานรื่นเริงนี้ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11 นาฬิกา 11 นาที และ 11 วินาที ของทุกปีจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงเวลานี้ทั่วทั้งเมืองโคโลญจ์จะสนุกสนานรื่นเริงกับการแสดงดนตรี วงโยธวาทิต การเต้นรำ การแต่งกายแบบแฟนซี และขบวนแห่ การกินดื่ม สรวนเสเฮฮากัน เรียกว่ามันส์แบบยาวนานหลายเดือนเลย แต่จะให้สุดเหวี่ยงก็ต้องวันแรกกับวันสุดท้ายของงานนี่สิเด็ดสุด ร้อง เล่น เต้นรำ กันทั้งวันทั้งคืนให้หมดแรงกันไปข้างเลย



พักความหอมฟุ้งแห่งเมืองโคโลญจ์ ด้วยการเอาเท้าไปแช่น้ำอุ่นสักเดี๋ยว ก่อนอาบน้ำอาบท่า แล้วไปหาอะไรกินก่อนเข้านอน พรุ่งนี้จะขอออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกของเยอรมัน ส่วนจะไปกระแซะเมืองใดนั้น ต้องเขยิบไปต่อกันที่ตอนสอง

Written by Omyim

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เกาะสอง เที่ยวเกาะฝั่งพม่าแบบเช้าไป-เย็นกลับ

ระนอง เป็นจังหวัดแรกของภาคใต้ที่อยู่ริมฝั่งอันดามัน, หรือมหาสมุทรอินเดีย ระยะทางห่างจากกรุงเทพฯ ราว 612 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 6 ชั่วโมงนิดๆ คุณก็จะได้มาสัมผัสความงดงามของเมืองฝนแปดแดดสี่ ทั้งทางธรรมชาติ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตผู้คนที่แสนเรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ และหากใครได้มาเยือนสักครั้งจะรู้สึกประทับใจและกลับมาเยือนอีกครั้งแน่นอน



สนุก! ท่องเที่ยว, มาเยือนเมืองระนอง นอกจากจะเที่ยวเก็บภาพความสวยงามของสถานที่ต่างๆ ไปฝากคุณผู้อ่านแล้ว เรายังได้มีโอกาสเดินทางมาเที่ยวประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างพม่า, แบบไม่ต้องนั่งเครื่องบิน หรือทำพาสปอร์ต เพราะแค่นั่งเรือข้ามฟากแป๊บเดียว ทุกคนก็ได้มาสัมผัสความงดงามของวิถีชีวิตผู้คนละวัฒนธรรมแบบพม่าเต็มๆ แล้ว



น่านน้ำทะเล,ระนอง ไม่ได้มีเพียงเกาะน้อยใหญ่ของไทยอย่างเกาะพยาม เกาะช้าง เกาะค้างคาว ให้นักท่องเที่ยวพักผ่อนแบบสบายเท่านั้น ใกล้ๆ กันบนน่านน้ำแห่งนี้ ยังมี เกาะสอง, ของทางฝั่ง ประเทศสหภาพพม่า ให้ไปเยือนพักผ่อนกันอย่างง่ายๆ เพียงแค่ทำบัตรผ่านแดนแบบเดินทางเช้าไป-เย็นกลับ แล้วเหมาเรือหางยาวได้จากท่าสะพานปลา หรือท่าเรือของโรงแรม,อันดามันคลับ ซึ่งห่างจากตัวเมืองระนองประมาณ 9 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางข้ามฟากเพียงเพียง 20 นาทีเท่า คุณก็จะได้ชมสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสองมากมาย อาทิ เจดีย์ชเวดากองจำลอง อนุสาวรีย์พระเจ้าบุเรงนองจำลอง และร้านค้าให้ชอปปิ้งเครื่องประดับเก๋ๆ หรือมาค้างแรมที่โรงแรมอันดามันคลับ ที่อยู๋ใกล้ๆ กันสักคืน ก็ได้บรรยากาศความสนุกไปอีกแบบ



Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Grants For Single Moms